WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gสมคด `สมคิด` มั่นใจส่งออกปี 59 จะโต 5% หากดันส่งออกได้ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน เศรษฐกิจโลกขยายตัว3.6%

   'สมคิด' เผยพาณิชย์เสนอเป้าส่งออกปี 59 ที่โต 5% มั่นใจทำได้หาก ดันส่งออกได้เดือนละ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.6% พร้อมหนุนอุตสาหกรรมอัญมณีแข่งขันเวทีโลก หวังไทยเป็นฮับของอุตสาหกรรม ชี้ปัจจุบันมีมูลค่าการค้าหลายแสนล้านบาท เผยนายกฯสั่งตั้งคณะกรรมการ PPP ให้รมว.พาณิชย์เป็นประธาน ชี้ต้องแล้วเสร็จใน 1 ปี ยังไม่มีการพูดถึงมาตรการกระตุ้น ศก.ระยะที่ 2

  นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศว่าในปีหน้ากระทรวงพาณิชย์เสนอเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 5% ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่อย่างไรก็ตามหากหลังจากนี้ไปสามารถผลักดันการส่งออกได้เดือนละ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.6% เชื่อว่าการส่งออกที่ระดับ 5% นั้นจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน

   "ปีนี้มันจบไปแล้ว แล้วเราไม่ต้องไปพูดถึงวันนี้มันโตเดือนละ 17,000 ล้านดอลลาร์ ช่วง พ.ย.-ธ.ค. ปีนี้ หากทำได้เดือนละ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องถึงปีหน้า  คงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งในวันนี้พาณิชย์ก็เสนอยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศในปีหน้าว่าจะเดินหน้าการปรับโครงสร้างการทำตลาดเชิงรุก ซึ่งมองว่าเป้าหมาย 5% นั้นจะทำให้กระทรวงพาณิชย์ทำงานอย่างเต็มที่"นายสมคิด  กล่าว

    นายสมคิด กล่าวว่า นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน หรือ PPP เพื่อศึกษาในรายละเอียดซึ่งได้มอบหมายให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน โดยคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ปี ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ด้านการผลักดันสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆนั้น มีการพูดคุยกันว่าให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณีเป็นอุตสาหกรรมหลักอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ในอนาคต เพราะอุตสาหกรรมดังกล่าวสร้างมูลค่าได้หลายแสนล้านบาท โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาในส่วนของรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน  และจะให้กระทรวงพาณิชย์มีการทำการโปรโมตต่อไป

   "เราอยากให้เราเป็นฮับด้านอัญมณี ให้เวลาที่ต่างชาติอยากจะซื้อเพชร นิล จินดา  ก็ต้องนึกถึงเราเป็นประเทศแรก ซึ่งเราเชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ เพราะอุตสาหกรรมอัญมณีของเราสามารถเป็นอันดับต้นๆของโลกได้เลย"นายสมคิด กล่าว 

 นายสมคิด กล่าวว่า ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐระยะที่ 2 นั้น  ขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึง

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย                                    

สมคิด ตั้งเป้าส่งออกปี 59 ขยายตัว 5% ชู 7 ยุทธศาสตร์ผลักดัน

     นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) เพื่อติดตามความก้าวหน้าด้านการค้าระหว่างประเทศ และแผนการผลักดันการส่งออกปี 59 ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การค้าต่างประเทศต่อที่ประชุม โดยเน้นการปรับโครงสร้างทางการค้าและการเดินตลาดเชิงรุก พร้อมทั้งตั้งเป้าผลักดันการส่งออกในปี 59 ให้โต 5% ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าที่ท้าทาย จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นและฐานการส่งออกที่ต่ำ

     ขณะที่ภาพรวมปีหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและการตั้งเป้าสูงไว้ก่อนน่าจะเป็นผลดี ส่วนการส่งออกในปีนี้ ไม่ได้ประเมินตัวเลขที่ชัดเจน

    "ส่งออกไม่ถือว่าเป้าสูงไปมากหรอก ให้ดูที่ปีนี้ ช่วงต้นปีว่าการส่งออกเท่าไหร่ และเมื่อดูจากเศรษฐกิจปีหน้า มีการประเมินว่าจะอยู่ที่ 3.6% และกระทรวงพาณิชย์ตั้งใจจะวิ่งแข่ง ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตั้งสูงไว้ก่อน"นยสมคิด กล่าว

    ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่ากระทรวงพาณิชย์จะมีแผนงานที่ดี และการทำงานของรัฐบาลก็ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง ซึ่งจากการหารือร่วมกับภาคเอกชนเมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.) ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือเคณะกรรมการดูเรื่องการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้นำในการเดินหน้าเรื่องนี้

       นอกจากนี้ ที่ประชุม พกค.ยังได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดในการศึกษาเรื่องของ TPP ภายใน 1 ปี โดยมอบหมายให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์เป็นประธาน ซึ่งระหว่างนี้จะมีการพบปะพูดคุยกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุด

     นอกจากนี้ ที่ประชุม พกค. มีแนวทางจะสนับสนุนให้ไทยเป็น Hub ของอัญมณีในปีหน้า ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า Hub อัญมณีจะมีมูลค่านับแสนล้านบาท โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดูเรื่องมาตรการทางภาษี คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะรับไปดำเนินการต่อ

      ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมพกค. ในครั้งนี้ได้มีการพิจารณายุทธศาสตร์ในการผลักดันการส่งออกปี 59 ซึ่งมี 7 ยุทธศาสตร์สำคัญ ยุทธศาสตร์แรกคือ การเปิดประตูการค้าและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะความตกลง TPP, RCEP, EU และ  ASEAN, ยุทธศาสตร์ที่สอง ได้แก่ การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต, ยุทธศาสตร์ที่สาม ได้แก่ การส่งเสริมการค้าชายแดน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

    ยุทธศาสตร์ที่สี่คือ การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ, ยุทธศาสตร์ที่ห้าคือ การปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสำคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ

    ยุทธศาสตร์ที่หกคือ การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และยุทธศาสตร์สุดท้าย คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการส่งออก

     นอกจากนี้ ได้มีการหยิบยกประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับ คลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ และคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพและเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ  หากปัญหาอุปสรรคได้รับการแก้ไข จะสามารถผลักดันให้เกิดรายได้เข้าประเทศได้มหาศาล

      อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ในปี 2557 มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นลำดับที่ 4 สร้างรายได้ 10,080 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 324,155 ล้านบาท แม้ว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในระดับนานาชาติ แต่ยังเสียเปรียบคู่แข่งสำคัญด้วยต้นทุนที่สูงกว่า โดยผู้ประกอบการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบ อากรนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะช่างฝีมือ  การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการพิจารณายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต ภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการจัดหลักสูตรการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากร จะทำให้ในปี 2563 ไทยจะส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และยกระดับเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกต่อไป

      ในส่วนของคลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนคนไข้ ประเทศที่มาเยือน และรายได้ ทำให้ปัจจุบันมีรายได้จากการรักษาพยาบาลคนไข้ชาวต่างชาติในโรงพยาบาลเอกชนไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายที่ควรมุ่งเน้น คือ ผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 40 ของชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการทั้งหมด ปัญหาอุปสรรคหลักของธุรกิจนี้ คือ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากรที่ช่วยดูแลผู้ป่วยจากต่างประเทศที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ประชุมพกค. จึงเห็นควรให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว

     การแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ในระยะสั้น ได้แก่ การออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และใบอนุญาตชั่วคราวให้แก่แพทย์จากต่างประเทศ เพื่อมาเสริมบุคลากรที่ขาดแคลนเป็นการชั่วคราว ส่วนการแก้ไขในระยะยาวจะกำหนดแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้มีสัดส่วน 9 – 10 คนต่อประชากร 10,000 คน หรือต้องผลิตแพทย์ให้ได้ประมาณปีละ 7,500 คน

      ในส่วนของคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ที่ประชุม พกค. ได้เสนอให้มีการพิจารณาการตีความประเภทยานยนต์เพื่อประเมินพิกัดภาษีศุลกากรขาเข้าที่ชัดเจน และในส่วนของปัญหาเกี่ยวกับสหภาพแรงงานได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนร่วมกันจัดทำแผนการผลิตบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในระยะยาว

         อินโฟเควสท์                    

สมคิด ตั้งเป้าส่งออกปี 59 ขยายตัว 5% ชู 7 ยุทธศาสตร์ผลักดัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) เพื่อติดตามความก้าวหน้าด้านการค้าระหว่างประเทศ และแผนการผลักดันการส่งออกปี 59 ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การค้าต่างประเทศต่อที่ประชุม โดยเน้นการปรับโครงสร้างทางการค้าและการเดินตลาดเชิงรุก พร้อมทั้งตั้งเป้าผลักดันการส่งออกในปี 59 ให้โต 5% ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าที่ท้าทาย จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นและฐานการส่งออกที่ต่ำ
ขณะที่ภาพรวมปีหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและการตั้งเป้าสูงไว้ก่อนน่าจะเป็นผลดี ส่วนการส่งออกในปีนี้ ไม่ได้ประเมินตัวเลขที่ชัดเจน
"ส่งออกไม่ถือว่าเป้าสูงไปมากหรอก ให้ดูที่ปีนี้ ช่วงต้นปีว่าการส่งออกเท่าไหร่ และเมื่อดูจากเศรษฐกิจปีหน้า มีการประเมินว่าจะอยู่ที่ 3.6% และกระทรวงพาณิชย์ตั้งใจจะวิ่งแข่ง ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตั้งสูงไว้ก่อน"นยสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่ากระทรวงพาณิชย์จะมีแผนงานที่ดี และการทำงานของรัฐบาลก็ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง ซึ่งจากการหารือร่วมกับภาคเอกชนเมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.) ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือเคณะกรรมการดูเรื่องการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้นำในการเดินหน้าเรื่องนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุม พกค.ยังได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดในการศึกษาเรื่องของ TPP ภายใน 1 ปี โดยมอบหมายให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์เป็นประธาน ซึ่งระหว่างนี้จะมีการพบปะพูดคุยกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุม พกค. มีแนวทางจะสนับสนุนให้ไทยเป็น Hub ของอัญมณีในปีหน้า ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า Hub อัญมณีจะมีมูลค่านับแสนล้านบาท โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดูเรื่องมาตรการทางภาษี คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะรับไปดำเนินการต่อ
ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมพกค. ในครั้งนี้ได้มีการพิจารณายุทธศาสตร์ในการผลักดันการส่งออกปี 59 ซึ่งมี 7 ยุทธศาสตร์สำคัญ ยุทธศาสตร์แรกคือ การเปิดประตูการค้าและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะความตกลง TPP, RCEP, EU และ  ASEAN, ยุทธศาสตร์ที่สอง ได้แก่ การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต, ยุทธศาสตร์ที่สาม ได้แก่ การส่งเสริมการค้าชายแดน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน
ยุทธศาสตร์ที่สี่คือ การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ, ยุทธศาสตร์ที่ห้าคือ การปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสำคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่หกคือ การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และยุทธศาสตร์สุดท้าย คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการส่งออก
นอกจากนี้ ได้มีการหยิบยกประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับ คลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ และคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพและเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ  หากปัญหาอุปสรรคได้รับการแก้ไข จะสามารถผลักดันให้เกิดรายได้เข้าประเทศได้มหาศาล
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ในปี 2557 มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นลำดับที่ 4 สร้างรายได้ 10,080 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 324,155 ล้านบาท แม้ว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในระดับนานาชาติ แต่ยังเสียเปรียบคู่แข่งสำคัญด้วยต้นทุนที่สูงกว่า โดยผู้ประกอบการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบ อากรนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะช่างฝีมือ  การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการพิจารณายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต ภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการจัดหลักสูตรการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากร จะทำให้ในปี 2563 ไทยจะส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และยกระดับเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกต่อไป
ในส่วนของคลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนคนไข้ ประเทศที่มาเยือน และรายได้ ทำให้ปัจจุบันมีรายได้จากการรักษาพยาบาลคนไข้ชาวต่างชาติในโรงพยาบาลเอกชนไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายที่ควรมุ่งเน้น คือ ผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 40 ของชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการทั้งหมด ปัญหาอุปสรรคหลักของธุรกิจนี้ คือ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากรที่ช่วยดูแลผู้ป่วยจากต่างประเทศที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ประชุมพกค. จึงเห็นควรให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว
การแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ในระยะสั้น ได้แก่ การออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และใบอนุญาตชั่วคราวให้แก่แพทย์จากต่างประเทศ เพื่อมาเสริมบุคลากรที่ขาดแคลนเป็นการชั่วคราว ส่วนการแก้ไขในระยะยาวจะกำหนดแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้มีสัดส่วน 9 – 10 คนต่อประชากร 10,000 คน หรือต้องผลิตแพทย์ให้ได้ประมาณปีละ 7,500 คน
ในส่วนของคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ที่ประชุม พกค. ได้เสนอให้มีการพิจารณาการตีความประเภทยานยนต์เพื่อประเมินพิกัดภาษีศุลกากรขาเข้าที่ชัดเจน และในส่วนของปัญหาเกี่ยวกับสหภาพแรงงานได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนร่วมกันจัดทำแผนการผลิตบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในระยะยาว
อินโฟเควสท์ 

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!